หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

i-mobile IQ5 - ไอโมบาย IQ 5 มาแล้วครับ

i-mobile IQ5 - ไอโมบาย IQ 5


i-mobile IQ 5

ขนาด : 147 x 76.5 x 9.7 มิลลิเมตร
น้ำหนัก 122.00 กรัม






* [ โปรดอ่าน ]
- Preliminary information -
i-mobile
ข้อมูลเครือข่าย (Network)
ข้อมูลตัวเครื่อง
ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU)
ระบบเชื่อมต่อ
ใช้งานอินเตอร์เน็ต
รับ-ส่งข้อความ (Messaging)
ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย

แอพพลิเคชั่นมาตรฐาน
การโทร และ ฟังก์ชั่นพื้นฐาน
การใช้งานของแบตเตอรี่

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

iPhone 5 มาแล้วครับ


ถือเป็นความโชคดีที่คนกะจะรอ iPhone 5 เปิดตัวในไทยแล้วค่อยซื้ออย่างผม ได้มีโอกาสรับเครื่อง iPhone 5 มารีวิวกันตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นครั้งนี้ก็จะขอรีวิวกันแบบเล่าเรื่องว่าตลอดระยะเวลาหลายวันที่ได้ ใช้ iPhone 5 นั้นผมรู้สึกอยากไร ซึ่งแน่นอนว่าตามสไตล์เราจะไม่เน้นสเปคเครื่องทั้งหลายแหล่เพราะก็หาอ่านตาม เว็บไซต์อื่นๆ ได้อยู่แล้ว โดยจะเน้นประสบการณ์ในการใช้งานเป็นหลัก เอาเป็นว่าเชิญชมกันดีกว่าครับ

iPhone 5 รุ่น 16GB เครื่องสิงคโปร์

แน่นอนครับว่าเครื่องที่ได้รับมาเป็นเครื่องหิ้วจากต่างประเทศ ซึ่งเครื่องนี้มาจากสิงคโปร์ โดยที่ราคาบ้านเค้าอยู่ที่ S$ 948 หรือราวๆ 24,000 บาท ในรุ่น 16GB ซึ่งแน่นอนว่าราคาเปิดตัวถือว่าแพงกว่าปรกติ ย่อมทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าราคาตอนเข้าประเทศไทยน่าจะมีการปรับขึ้นจากเดิม ที่ iPhone 4S เคยมีการเปิดตัวด้วยราคาประมาณ 21,000-23,000 เท่านั้น ซึ่งในขณะที่ทำรีวิวอยู่นี้เครื่องหิ้วแถว MBK ก็เปิดราคาเริ่มต้นที่ 16GB ราคา 36,000 บาทกันเลยทีเดียว แถมขายดีจนหมดเกลี้ยงซะด้วย ใจร้อนกันจริงๆ วัยรุ่น!

กล่องแอบจีน (แดง)


สารภาพว่าแว๊บแรกที่เห็นกล่อง iPhone 5 สีดำในใจก็นึกขึ้นมาว่าของปลอมแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็คืออันนั้นแหละของจริงแท้จาก Apple แล้ว ซึ่งกล่อง iPhone 5 ในเวอร์ชั่นสีดำดูจะขัดหูขัดตาหน่อย เพราะสีกล่องจะออกเทาๆ เข้ม ไม่เชิงดำสนิท และตัวหนังสือสีดำเงาๆ ดูแล้วไม่ค่อยเนี๊ยบและสวยเท่าไหร่ ส่วนกล่องสีขาวยังดูโอเคกว่า แต่ก็อาจเพราะเราเคยชินกับกล่องสีขาวมานานก็เป็นได้ อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ บางคนอาจจะชอบกล่องสีดำมากๆ ก็ได้ แล้วแต่ความชอบกันไป

เริ่มต้นแกะกล่อง


เมื่อทำใจจากกล่องได้แล้วก็เริ่มแกะกล่องกันเลย โดยแพ็คเกจของ iPhone 5 ก็มาตามมาตรฐาน iPhone ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านๆ มา แกะออกมาก็มี iPhone 5 นอนรออยู่บนถาดและด้านในก็จะมีซองคู่มือ (พร้อมที่จิ้มถาดซิม), สาย Lightning, ปลั๊กไฟ USB (ซึ่งผมไม่ได้เอามาด้วยซะอย่างงั้น โดยจริงๆ จะให้มาเป็นหัวสามเหลี่ยม) และ EarPods

แกะซองคู่มือก็จะมีคู่มือมาให้เล็กน้อย และที่จิ้มถาดซิมวางอยู่ข้างใน มีสติ๊กเกอร์รูป Apple มาให้สองอันตามปรกติ

เครื่องแน่นดีไซน์สวย


ลองมาดูที่ตัวเครื่องกันบ้างเลย ซึ่งผมเป็นคนที่ใช้ iPhone 4 และ iPhone 4S สีดำมานาน ผมยังจำวันแรกที่ได้จับ iPhone 4 ได้ โดยวันนั้นรู้สึกตื่นเต้นกับคุณภาพของวัสดุที่นำมาประกอบเป็น iPhone 4 มากเพราะดูมันล้ำหน้าชาวบ้านไปเยอะ ซึ่งในครั้งนี้ก็เหมือนกันที่ตัวเครื่องดูแน่นหนา บึกบึน จับกระชับมือมากๆ

พูดถึงความบาง ถือว่าด้วยดีไซน์ของ iPhone 5 จะทำให้มันดูหลอกตาคนเคยใช้ iPhone 4S มาก่อนหน้านี้โดยอัตโนมัติ เพราะเหมือนเป็นการตัดเอาส่วนขอบที่ยื่นๆ ออกมาจากตัวอลูมิเนียมใน iPhone 4S ออกไป จนเหลือเพียงแค่ขอบอลูมิเนียมเพียวๆ ดังนั้นตัวจริงของ iPhone 5 เลยดูบางสุดๆ ถึงแม้จะแค่เห็นด้วยภาพ และยิ่งได้มาลองจับก็จะรู้สึกได้เลยว่าบางลงเยอะจริงๆ เอาง่ายๆ พอลองไปจับ iPhone 4S จะกลายเป็นว่ามันดูอ้วนไปเลย (มันจะงอลไหมเนี่ย)

ตรงด้านข้างของเครื่องสีดำก็จะเป็นสีดำด้าน ให้สัมผัสด้านๆ แบบอลูมิเนียมสุดๆ และมีการย้ายช่องหูฟังมาใว้ด้านล่าง ตรงนี้ผมว่าในการใช้งานจริงสะดวกกว่าเดิมมาก เพราะเดิมเวลาเราเสียบหูฟังแล้วยกเครื่องมาเล่น สายมันอาจจะมาบังหน้าจอได้ แต่คราวนี้ปล่อยลงไปข้างล่างแล้ว หายห่วง

หันมาด้านหลัง พื้นที่ตรงส่วนกลางเครื่องทำมาจากอโนไดซ์อลูมิเนียมประเภทเดียวกับที่ใช้บน MacBook Pro และขอบบนกับขอบล่างเป็นกระจกสีดำ (วัสดุอาจจะไม่ใช่กระจกซะทีเดียว ต้องรอยืนยันอีกที) สำหรับหลังเครื่องจำได้เลยว่าตอนแรกที่เคยเห็นภาพหลุดๆ รู้สึกเลยว่าไม่สวย ไม่ชอบ แต่พอได้จับของจริงก็ต้องบอกว่าคุณภาพวัสดุมันดูดีจริงๆ จนทำให้จากที่เคยไม่ชอบก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ โดยของจริงมันจะออกดำๆ เทาๆ กว่าที่เราเห็นในภาพตามอินเตอร์เน็ทพอสมควร ทำให้เครื่องดูเข้มๆ ขรึมๆ สวยไปอีกแบบ

รอยถลอก?…มีชัวร์แถมเยอะแน่!

สำหรับเรื่องที่ใครหลายๆ คนสงสัยกันเกี่ยวกับรอยถลอกบน iPhone 5 ว่าจะมีเยอะและมีง่ายจริงอย่างที่เค้าลือกันหรือเปล่า ตอบกันตรงนี้ชัดๆ เลยครับว่า “มี” ชัวร์ เพราะรอบๆ iPhone 5 นั้นใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมสีดำ ซึ่งแน่นอนว่าจะเกิดรอยจากการใช้งานได้ง่ายมากๆ เพราะใครที่ใช้ MacBook Pro ก็รู้กันดีว่าอลูมิเนียมบนตัวเครื่องถึงจะทนทาน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดรอยซะทีเดียว และยิ่งพอมาเป็น iPhone 5 ที่เป็นสีดำด้วยแล้ว เวลามีรอยขนแมวหรือรอยกระทบจากการใช้งานทั่วไป จะเห็นได้ชัดเจนมากกว่าปรกติ

จากการรับเครื่องมาแค่หนึ่งวันกว่าๆ เชื่อไหมครับว่าเจอรอยที่ขอบด้านบนเครื่องทันที ลักษณะเหมือนโดนของแข็งมาขูดทั่วๆ ไปนี่แหละ เพียงแต่พอขอบมันเป็นสีดำ เวลาโดนอะไรมาขูดมันจะเป็นสีเงินออกมาชัดเจนมาก เศร้าจิตกันไป ดังนั้นบอกได้คำเดียวว่าถ้าจะใช้สีดำคงต้องรักษากันสุดๆ ไม่งั้นก็ต้องหนีไปใช้สีขาวแทน ก็จะพอทำใจได้มากกว่าหน่อยเพราะรอยอาจจะเห็นได้ยากกว่า แต่เชื่อว่ายังไงก็หนีไม่พ้น และพวกฟิล์มกันรอยรอบตัวอาจจะเป็นทางออกที่ดีได้

เบา…ได้อีก!


จำความรู้สึกตอนถือ iPhone 4 แล้วรู้สึกว่ามันหนักมือได้ไหมครับ? แน่นอนว่าตอนที่เราได้เจอ iPhone 4 เป็นครั้งแรก ตัวเครื่องนั้นเป็นกระจกและอลูมิเนียม ดังนั้นน้ำหนักที่เราหยิบจับขึ้นมาจะรู้สึกได้ว่าหนักแบบกำลังพอดีมือ แต่พอมาจับ iPhone 5 และยกขึ้นมาเป็นครั้งแรก บอกได้เลยว่าเบาจนน่าตกใจ เรียกว่าเบาจนรู้สึกประหลาดมือเลยทีเดียว ซึ่งก็น่าทึ่งเหมือนกันที่ Apple สามารถทำ iPhone 5 ที่ตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมทั้งแผง แต่เบาได้ขนาดนี้ อยากรู้ว่าเบาขนาดไหนน่ะเหรอ? เอาง่ายๆ ว่ามีคนมาขอลองจับลองเล่น iPhone 5 เครื่องนี้หลากหลายคนแล้ว แต่สิ่งที่ทุกคนพูดเป็นคำแรกเหมือนกันหมดหลังจากได้จับเครื่องก็คือเรื่อง ของความ “เบา” นี่แหละ อย่างอื่นแทบไม่สนกันเลย

จากตัวเลขที่เรารู้กันก็คือเบาลงประมาณ 30 กรัม ซึ่งเอาง่ายๆ เหมือนหยิบ iPhone 4S มาแล้วลบน้ำหนักออกไปด้วย iPod nano หนึ่งเครื่อง (งงไหม?) พูดไปซะเยอะยังไงก็อธิบายได้ไม่ดีเท่าไหร่ ดังนั้นผมแนะนำให้ไปหาลองจับลองยกเครื่อง iPhone 5 ด้วยมือตัวเองกันดูครับ แล้วจะเกิดกิเลสขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว (ไม่ได้เว่อร์นะ)

จอแปลกตา…สีสด (มาก)



จากการที่จอของ iPhone 5 นั้นยาวขึ้นพอประมาณ ทำให้การใช้งานช่วงแรกๆ จะดูแปลกตาหน่อย เชื่อไหมครับว่าตอนหยิบมาเปิดจอใช้ครั้งแรกในใจแอบคิดไปถึงพวกซัมซุง, โซนี่ เลยเพราะจอเค้าใหญ่ยาวมานานแล้ว ซึ่งการที่จอยาวๆ มาอยู่ใน iPhone 5 ก็ช่วยให้การทำงานหลายๆ อย่างสะดวกขึ้นเช่นการเล่นเกมที่อัพเดทเพื่อรองรับ iPhone 5 แล้วก็จะมีพื้นที่มากขึ้น

App ต่างๆ ก็จะได้พื้นที่แสดงผลมากขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อ App ที่ต้องแสดงผลเป็นแนวยาวๆ ลงมาเช่น Facebook มาก ส่วน App ที่ไม่ได้ต้องยาวอะไรก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แต่พวกเกมที่อัพเดทแล้วก็จะมีหน้าจอที่เต็มตาขึ้น ตรงนี้ผมว่าสนุกมากกับการที่ได้เล่นเกมบนจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึงแม้จะเป็นเกม เดิมๆ ก็ตาม

เรื่องของสีนี่ต้องเป็นประเด็นเลย เพราะจอใน iPhone 5 นั้นผมว่าให้สีที่สดขึ้นมากๆ และโทนสีดูจัดจ้านกว่า iPhone 4S อย่างเห็นได้ชัดเลย ส่วนหนึ่งอาจะเป็นเพราะหน้าจอแบบใหม่ด้วยและชิปกราฟิกแบบใหม่ ทำให้พวกเกมต่างๆ สีดูดีขึ้นเยอะ และพอกลับไปเล่น iPhone 4S กลายเป็นจอดูซีดและเพี้ยนไปเลย (จริงๆ นะ) ถือว่าจอใน iPhone 5 สีสดมากจริงๆ โดยตอนแรกนึกว่าเป็นที่จออย่างเดียว แต่พอจับภาพหน้าจอดึงไฟล์มาเทียบก็ได้ตามภาพข้างล่างนี้

iPhone 4S vs. iPhone 5


ลองมาดูการเปรียบเทียบส่วนอื่นๆ กับ iPhone 4S กันบ้าง ถ้าเป็นโดยรอบเราก็จะเห็นได้ค่อนข้างชัดว่าตัวเครื่องจะบางลงพอสมควร ส่วนขนาดความกว้างนั้นแทบจะเท่าเดิมเป๊ะๆ จะมีแค่ความขาวที่ยาวขึ้นพอประมาณซึ่งก็ไม่ได้ยาวขึ้นเยอะจนพกพาลำบากเพราะ ยังพกพาใส่กระเป๋ากางเกงได้ง่ายอยู่

กล้องหน้าใว้ใจได้ (แต่อย่าเยอะ)


ส่วนนึงที่ได้รับการอัพเกรดอย่างเห็นได้ชัดก็คือกล้องด้านหน้าที่มีความ ละเอียดมากขึ้น และเล่น FaceTime HD ได้ โดยจากการทดลองถ่ายรูปก็ได้ผลว่าความคมชัดนั้นดีขึ้นพอสมควรเลย เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น ตรงนี้สาวๆ ทั้งหลายน่าจะชอบเพราะไม่ต้องเอากล้องหลังวัดดวงถ่ายรูปตัวเองอีกแล้ว ฝากความหวังใว้กับกล้องหน้าได้ซักที แต่ก็ใช่ว่าจะละเอียดสุดยอดขั้นเทพซะทีเดียวเพราะยังชัดต่างจากกล้องหลัง เยอะ ส่วนกล้องหลังแทบไม่มีอะไรต่างกับ iPhone 4S อาจจะเป็นการกั๊กเล็กๆ พองามรอปล่อยของในรุ่นใหม่อีกที

เร็วขึ้นไม่มีหน่วง


อย่างที่รู้กันว่า iPhone 5 นั้นใส่ Apple A6  ซึ่งเป็น CPU ความเร็วสูงที่ Apple ออกแบบเองเต็มๆ ทำให้การใช้งานทั่วไปนั้นเร็วมาก แบบไม่มีหน่วง การเปิด App ต่างๆ นี่แทบไม่ต้องรอกันเลยทีเดียว ซึ่งบางครั้งเวลาเล่นหรือทำอะไรเยอะๆ บน iPhone 4S เครื่องจะกระตุกบ้าง แต่ใน iPhone 5 ถือว่าลื่นมาก ใช้ดีใช้คล่อง

แบตเตอรี่นานขึ้นแบบรู้สึกได้ (เล็กๆ)


จากการใช้งาน iPhone 5 มาวันกว่า ด้วยการเล่นมันสารพัดอย่างและลองมันทุกสิ่ง จากความรู้สึกผมพบว่า iPhone 5 มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นเล็กๆ โดยจากการที่แบตเตอรี่เหลือราวๆ 50% ในช่วงบ่ายสาม แต่ก็ยังอยู่รอดมาได้เหลือ 15% ตอนกลับบ้านช่วงสามทุ่ม ซึ่งจากกระประเมินคร่าวๆ แบตเตอรี่ใน iPhone 5 น่าจะอยู่ได้พอดีวันหรือเกินวันมาหน่อยๆ สำหรับคนที่ใช้งานเรื่อยๆ และเล่นเกมบ่อยแต่ไม่ถึงกับบ่อยมาก เทียบกับ iPhone 4S ที่แต่ละวันอาจจะต้องชาร์จเกินหนึ่งรอบ และสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้อะไรมากแค่ใช้งานทั่วไป เชื่อว่า iPhone 5 น่าจะอยู่เกินวันหรือสองวันได้ซักที

EarPods


มาดูหูฟังแบบใหม่จาก Apple กันบ้าง ด้วยหน้าตาที่ประหลาด (บางคนแซวว่าเป็นไดร์เป่าผม) ทำให้เกิดข้อสงสัยเหลือเกินว่าเสียงจะออกมาดีไหม ซึ่งเท่าที่ลองฟังในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง ก็รู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าเป็นหูฟังที่คุณภาพดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ พวกเสียงเบสและรายละเอียดต่างๆ มาเยอะดี เพลงแนวป๊อปที่เบสมาเต็มๆ ถือว่าฟังได้สนุกมาก เอาว่าง่ายๆ ถ้าหากไปซื้อ EarPods แยกต่างหากในราคา 1,090 บาท ผมก็รู้สึกว่าราคานี้คุ้มดีกับคุณภาพที่ได้ ซึ่งตอนนี้ผมก็อยู่ในช่วงที่กำลัง Burn หูฟังเพื่อลองดูว่าเสียงจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนได้อีก

การใส่เข้ากับหูก็แปลกดี โดยหลายๆ คนอาจจะชินกับการที่ต้องมีฟองน้ำมารองรับ แต่ EarPods จะเป็นพลาสติกเพียวๆ ที่เข้ารูปกับรูหูได้ดีทีเดียว แต่บางคน (เช่นผม) อาจจะรู้สึกหลวมๆ หน่อย ส่วนเสียงก็จะรู้สึกว่ายิงตรงเข้ารูหูกันเลยด้วยรูปทรงที่เน้นเอาลำโพงเอียง เข้ามาแบบนี้

Lightning เล็กเว่อร์


เห็นในรูปมานานก็ดูเล็กแล้ว แต่พอมาเห็นสาย Lightning ของจริงผมถึงกับอึ้ง เพราะหัวต่อของ Lightning นั้นเล็กมากจนหัว 30-pin เรียกว่ากลายเป็นปู่ทวดไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้การใช้งานนั้นสะดวกขึ้นอีกเยอะ การเสียบชาร์จก็ทำได้ง่ายดี ไม่ต้องมาคอยหมุนหาทิศทางอีกต่อไป

สรุป…ซักเครื่องดีไหม?


แน่นอนว่าพออ่านมาจนถึงตรงนี้ หลายๆ คนก็น่าจะพอตัดสินใจได้บ้างแล้วว่า iPhone 5 นั้นเหมาะกับเราเพียงไหน แต่หากจะให้ผมเป็นคนฟังธงลงไปเกี่ยวกับ iPhone 5 ว่าควรจะซื้อไหม ผมก็อยากจะตอบแบบตรงไปตรงมาว่า หากคุณสนใจ iPhone 5 ก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่ๆ เพราะนี่ถือเป็นการเอา iPhone 4S ที่ดีอยู่แล้ว มาเพิ่มเติ่มส่วนที่ขาดหายไป และตัดทอนส่วนที่เกินมาให้พอดี จนกลายมาเป็น iPhone ที่ลงตัวที่สุดเครื่องหนึ่ง

แน่นอนว่าปัญหาเรื่องรอยขีดข่วนจะเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนเล็กๆ สำหรับการตัดสินใจ เพราะมันอยู่ที่ว่าเราซื้อ iPhone 5 มาใช้ หรือซื้อมาโชว์เป็นหลัก เพราะถ้าในแง่ของการใช้งาน iPhone 5 สามารถเป็นเพื่อนยามเหงาและเป็นคู่หูในยามสนุกได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกถ้าเอาแค่ความบางเบาผมว่าก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ iPhone 5 อยู่ในใจของใครหลายๆ คนได้ไม่ยาก
ดังนั้น…ลองไปถือ iPhone 5 ดูครับ แล้วจะรู้ว่า Apple เก่งเรื่องทำให้คนเสียเงินโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
ขอขอบคุณ: DifferShield สำหรับเครื่องที่ใช้รีวิวครับ

โน้ตบุ๊ก ครองแชมป์สินค้าขายดี

โน้ตบุ๊ก" ครองแชมป์สินค้าขายดี สี่วันขายได้ 1,044 ล้านบาท








"แท็บเลต" มาแรง ดันยอดคอมมาร์ตทะลุ 1,800 ล้าน 
"โน้ตบุ๊ก"ยังครองแชมป์สินค้าขายดี 


แม้ว่างานคอมมาร์ต ซีมาร์ต ระหว่าง 19-22 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ละแบรนด์ยังมีปัญหาไม่สามารถนำ "แท็บเลต" เข้ามาเปิดตัวทำตลาดได้ทัน ยังคงปล่อยให้ "ไอแพด 2" เป็นดาวเด่น 

โดยมีเพียงไอโคเนีย แทปของเอเซอร์เท่านั้นที่เข้ามาทำตลาดแบบเต็มตัว ขณะที่เอซุสก็นำเข้ามาโชว์เท่านั้น ยังไม่ได้วางขาย แต่แท็บเลตก็ยังถือว่าเป็นไฮไลต์ที่เข้ามาช่วยดันยอดขายรวมในงานให้ทะลุเป้า 1,800 ล้านบาท 

นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงาน "คอมมาร์ต ซีมาร์ต ไทยแลนด์ 2011" กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นไปตามเป้าหมาย 

เป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นกำลังซื้อของตลาดในไตรมาส 2 โดยที่โน้ตบุ๊กยังครองแชมป์สินค้าไอทีขายดี ซึ่งยอดขายรวมทั้งงาน 1,044 ล้านบาท รองลงมา คือ แท็บเลต 180 ล้านบาท ส่วนอันดับสามเป็นของสมาร์ทโฟน 127 ล้านบาท นอกจากนี้กลุ่มสินค้าคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์อย่างทีวี 3 มิติยอดขายกระแสดีเช่นกัน

ยอดขายในงานได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดไอที และกระแสความต้องการใช้งานไอทีในช่วงไตรมาส 2 ที่ตลาดสมาร์ทโฟน แท็บเลตมาแรง 

อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่ากำลังซื้อในตลาดโน้ตบุ๊กก็ยังไม่กระทบ จากการเติบโตของตลาดแท็บเลต เนื่องจากการใช้งานคนละแบบ ทำให้โน้ตบุ๊กยังครองความนิยมเช่นเคย และทางเออาร์ไอพีจะมีการจัดงานคอมมาร์ต เอ็กซ์เจน 2011 ครั้งต่อไประหว่างวันที่ 21-24 ก.ค.นี้


ขอบคุณ มติชนออนไลน์

สินค้าดีวันนี้คือ


สมาร์ทวอทช์

นาฬิกา
ข้อมือ ที่ทำได้มากกว่าบอกเวลา หรือ Smartwatch (สมาร์ทวอ
ทช์)อะไรที่เรียกว่าเป็นได้มากกว่า การบอกเวลา คือ เป็นนาฬิกาที่
อาจมีกล้องถ่ายรูป สามารถตอบรับสายโทรศัพท์เรียกเข้าได้
สามารถรับส่งอีเมลล์หรือเชื่อมต่อกับโซเชียลเน็ตเวิร์กต่าง ๆเช่น
เฟซบุ้ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ได้ รวมถึงความสามารถในการลง
แอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมต่างๆ อีกมากมาย
การคิดค้นและพัฒนามีมานานก่อนจะเปิดตัวขายจริง
ในปี 2012 ซึ่งมีหลากหลายยี่ห้อที่มีชื่อเสียงทำ Smartwatch
(สมาร์ทวอทช์) ออกมาให้ใช้งาน อาทิ i’M Watch ของบริษัท
Blue Sky ประเทศอิตาลี ซึ่งทำงานบนระบบปฏิบัติการ แอนดร
อยด์ ทำงานได้ค่อนข้างสมบูรณ์ เช่น การเชื่อมต่อกับระบบบลูทูธ
(Bluetooth) เวลามีสายเรียกเข้าก็สามารถรับจากนาฬิกาได้ กด
เบอร์โทรออกจากหน้าจอสัมผัสได้ เวลามีข้อความจากเอสเอ็มเอส
อีเมล หรือโซเชียลต่าง ๆ เตือนขึ้นที่หน้าจอ รวมถึงความ
สามารถในการเชื่อมนาฬิกาเข้ากับเครื่องวัดชีพจร เครื่องวัด
ความเร็ว ที่ผู้รักการออกกำลังกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
มันคือการเอานาฬิกาปกติของเราไปรวมเข้ากับสมาร์ทโฟน นั่นเอง
ครับ
ในปี 2014 มีการแข่งขันของ Smartwatch (สมาร์ทวอ
ทช์) มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใช้งานฟังชั่นใหม่ๆ หรือ
รูปทรงดีไซน์ เริ่มมีความสวยงามทันสมัยมากขึ้น
Samsung ก้เปิดตัว โดย Smartwatch ไปแล้วสี่ตัว Samsung
Galaxy Gear , Gear 2, Neo, and Gear Fit ตามภาพ
รันบนระบบปฏิบัติการ Tizen OS ที่ทางซัมซุงได้พัฒนาขึ้นมาเอง
และจะแตกต่างจากในรุ่นแรกที่เลือกใช้งานบน Android OS อีก
ด้วยอีกหลายบริษัทหลายยี่ห้อที่ทำ Smartwatch ส่วนใหญ่ก็เป็น
บริษัทที่ทำ สมาร์ทโฟน นั้นแหละครับสำหรับเจ้าตัว Smartwatch
ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากก่อนจะเปิดตัวใช้จริง ถึงตอนนี้ความ
สนใจเริ่มลดลงเพราะด้วยการทำงานหรือรูปแบบอะไรต่างๆยังไม่
ลงตัวที่สุด รวมถึงการรองรับระบบ ที่ส่วนมากเห็นจะเป็น
Androidแต่หลังจากนี้ไปแนวทางการพัฒนาหรือการใช้งานของ
ทุกท่านเริ่มจะเข้าใกล้การที่จะหันมาใช้เจ้า Smartwatch ในอีกไม่
นาน และก็